วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"รถคันแรกเอฟเฟ็กต์" เกินคาด...! ดีมานด์เทียมโผล่-กำลังซื้อฝืด

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

เดือนมิถุนายนเข้าสู่โหมดกลางปี 2556 แล้ว เวลาไม่คอยใครจริง ๆ สิ่งที่หนักอกชาวบ้านในเวลานี้คงไม่พ้นปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งแซงค่าแรง 300 บาทไปแล้ว แม้แต่ราคาไข่ไก่ก็แพงหูฉี่ ในบางพื้นที่ไต่ระดับขึ้นไปเกือบจะทะลุฟองละ 5 บาทแล้ว 

ผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนออกมาแจกแจงเหตุผลว่า ไข่แพง เพราะสภาพอากาศร้อน แม่ไก่ออกไข่ได้น้อยลง ทำให้ซัพพลายไข่ไก่ในตลาดหายไป และยังเป็นช่วงเปิดเทอมพอดี เด็ก ๆ หันมาบริโภคไข่กันมากขึ้น 

ฟังดูก็เหมือนมีเหตุมีผล แต่ตอนนี้ในระดับเสนาบดีผู้กุมชะตาประเทศก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า มีการเก็บสต๊อกไข่อยู่ในห้องเย็นมากน้อยเท่าไหร่ 

ในจังหวะขาขึ้นเช่นนี้ ถ้าใครปล่อยไข่ออกสู่ตลาดได้ก็จะโกยรายได้ไปเต็ม ๆ ข้าวไข่เจียว เมนูของคนมีรายได้น้อยขยับชั้นขึ้นเป็นเมนูผู้มีตังค์ไปแล้ว 

อีกเรื่องที่เป็นวาระร้อน "รถคันแรกเอฟเฟ็กต์" เมื่อปีที่แล้วผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคต่างดีอกดีใจกับนโยบายประชานิยมการลดภาษีรถคันแรก 

แท้ที่จริงแล้วในช่วงเวลานั้น ตลาดรถยนต์เมืองไทยก็อยู่ในช่วงขาขึ้นมาก ๆ อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายรถคันแรกนี้มา

กระตุ้นตลาดก็ได้ เพราะทำให้กลไกตลาดบิดเบือน เนื่องจากไปดึงแรงซื้อหรือดีมานด์ในอนาคตมารวมกันไว้ภายในปีเดียว 

ในแง่นโยบายถือว่าบรรลุผลสำเร็จเกินเป้า เพราะหลังปิดโครงการรถคันแรกสิ้นปี 2555 กรมสรรพสามิตสรุปยอดขอคืนภาษีทะลุ 1,254,854 ล้านคัน ต้องเตรียมจ่ายเงินคืนประชาชนกว่า 9 หมื่นล้านบาท

แต่วันนี้ นาทีนี้ สถานการณ์พลิกกลับทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งพอจะประมวลสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้เห็น ดังนี้ 

1.การจราจรอัมพาต ตอนนี้เกิดปัญหารถติดอย่างหนัก ผลพวงจากยอดจองรถคันแรกถล่มทลายกว่า 1 ล้านคัน ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งขณะนี้ปริมาณรถใหม่ป้ายแดงทะลักออกมาแล้ว แต่พื้นผิวถนนมีอยู่เท่าเดิม ด้วยเหตุนี้รถจะไม่ติดได้อย่างไร 

นอกจากการจราจรอัมพาตในกรุงเทพฯแล้ว ในหัวเมืองใหญ่ก็กำลังเผชิญชะตากรรมนี้เช่นกัน เพราะในต่างจังหวัดก็แห่ใช้สิทธิ์ซื้อรถคันแรกจังหวัดละหลายหมื่นคัน ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง เมืองพัทยา เป็นต้น 

รถติดกลายเป็นปัญหาใหญ่ ผู้คนเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และเสียสุขภาพจิต เผาผลาญน้ำมันวันละหลายชั่วโมง เงินในกระเป๋าถูกสูบไปโดยไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ต้นทุนค่าเดินทางสูงมาก อีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุถี่ขึ้นทุกวัน มือใหม่หัดขับเต็มไปหมด ชีวิตของผู้คนเสี่ยงสุด ๆ บนท้องถนน

2.ผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ ทั้งรถใหม่และรถมือสอง ตอนนี้ยอดขายรถใหม่ก็เริ่มแผ่วตามคาดการณ์ของค่ายรถ แต่ปรากฏการณ์ที่น่าห่วงก็คือขณะนี้มีลูกค้าแห่ทิ้งใบจองหรือเลิกใช้สิทธิ์จากทั่วประเทศไปแล้วกว่า 4 พันคัน 

แม้ว่าผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จะออกมาระบุว่า การทิ้งใบจองรถยนต์ และการเลื่อนรับรถคันแรก หากอยู่ในสัดส่วน 10-20% จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก 

แต่ที่แน่ ๆ ดีมานด์เทียมโผล่เป็นทิวแถวแล้ว 

ตอนนี้ดีลเลอร์หลายรายกำลังกุมขมับ ก่อนหน้านี้เจอปัญหาด้านซัพพลายส่งมอบรถให้ลูกค้าไม่ทัน แต่วันนี้ต้องมาแบกสต๊อกรถทิ้งดาวน์ ทิ้งใบจอง เลื่อนรับรถออกไป ต้องควักกระเป๋าอัดโปรโมชั่นแรง ๆ เรียกลูกค้า เพื่อเร่งระบายสต๊อกที่เป็นต้นทุนจมจำนวนมหาศาล

ส่วนตลาดรถมือสองก็แจ็กพอตไปด้วย ทำให้ราคาตก 5-10% เพราะคนเห่อไปใช้รถใหม่กันหมด ในฟากธุรกิจลีสซิ่งก็หืดจับไม่แพ้กัน คนเริ่มมีปัญหาส่งงวดรถ 

แม้แต่ดีลเลอร์รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ในภาคใต้ ใจก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รอลุ้นว่าราคายางพารา ปาล์มน้ำมันจะดีดตัวสูงขึ้นในเร็ววัน เพราะตอนนี้กลุ่มลูกค้าเกษตรกรหายไปเยอะ เซลส์รถยนต์ต้องหันไปจับตลาดข้าราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเงินเดือนประจำแทนเศรษฐีสวนยางที่เคยอู้ฟู่เมื่อ 2 ปีก่อน

3.ผลสะเทือนต่อกำลังซื้อ เพราะการซื้อรถคันแรกได้ "ดูดกำลังซื้อ" ไปหมด นักธุรกิจในหัวเมืองให้ข้อมูลตรงกันว่า ช่วงนี้บรรยากาศการจับจ่ายในต่างจังหวัดเริ่มเงียบเหงา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน 

สาเหตุหลัก ๆ มาจากรถคันแรกเอฟเฟ็กต์ เพราะแทบทุกครัวเรือนต้องแบ่งเงินก้อนใหญ่เอาไว้ผ่อนรถทุกเดือน จึงทำให้เงินสดในมือเหลือน้อยลง กำลังซื้อหดหาย ต้องรัดเข็มขัด และเลือกที่จะจับจ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น 

เรียกได้ว่า สะเทือนกันไปทั้งระบบ...! 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น